เมื่อ : 15 พ.ย. 2566 , 288 Views
สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย ร่วมกับ โนโว นอร์ดิสค์ ฉลองครบรอบ 100 ปีในการมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนระดับโลก พร้อมสานต่อสัมพันธ์กับภาครัฐสู่เส้นทางการป้องกันและรักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วนในประเทศไทยอย่างยั่งยืน

ทุกวันนี้ การใช้ชีวิตของคนไทยแบบเนือยนิ่งและไม่ออกกำลังกายมีความสัมพันธ์กับความชุกของน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเกิดโรคเบาหวาน โดยโรคอ้วนอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่า 7 เท่า ในขณะที่การมีน้ำหนักเกินเพิ่มความเสี่ยง 3 เท่า นอกจากนี้ อัตราการเสียชีวิตจากโรคเบาหวานในประเทศไทยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป รองลงมาเป็นวัยผู้ใหญ่อายุ 30-69 ปี ซึ่งประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยประชากรผู้สูงอายุอาจเพิ่มขึ้นประมาณ 14.4 ล้านคน ในปี พ.ศ.2568 และจะมีผู้สูงอายุ 1 ใน 5 คนเป็นโรคเบาหวาน

 

ภายในงาน "Celebration of 100-Year Danish Contribution to Sustainable Healthcare Globally and Thailand’s Path to Sustainable Diabetes & Obesity Care." ครั้งนี้ นายยอน ธอร์กอร์ด (H.E. Mr. Jon Thorgaard) เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญในการผนึกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาด้านการดูแลสุขภาพที่ซับซ้อน โดยเฉพาะโรคเบาหวานโรคอ้วนและโรคเรื้อรังอื่นๆ โดยมีสถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ในการดำเนินงานในโครงการต่างๆ ร่วมกันกับพันธมิตรในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เพื่อให้คนไทยและคนรุ่นต่อไปมีการดูแลสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน โดยงานนี้ ได้รับเกียรติจาก รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิด และศ.นพ.วิชัย เอกพลากร หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมปาฐกถาถึงความท้าทายในการดูแลโรคเบาหวานและโรคอ้วนอย่างยั่งยืน ณ สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย

 

ด้วยสัมพันธภาพระหว่างเดนมาร์กและประเทศไทยที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 400 ปี หนึ่งในนั้นคือการสนับสนุนในด้านสุขภาพ (Healthcare) ซึ่ง ‘โนโว นอร์ดิสค์’ (Novo Nordisk) เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการดูแลสุขภาพระดับโลก โดยมีส่วนร่วมสำคัญในระบบการดูแลสุขภาพกับพันธมิตรทั่วโลก รวมถึงมีการนำนวัตกรรมมาใช้ในการดูแลโรคเบาหวาน ซึ่งปีนี้ได้เฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ถือเป็นบทพิสูจน์ที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมองค์กรของเดนมาร์กที่มีความมุ่งมั่นด้านการดูแลสุขภาพ และมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่เน้นความยั่งยืนโดยคำนึงถึงระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

 

ภายในงาน รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เป็นตัวแทนกระทรวงสาธารณสุขร่วมเป็นประธานในพิธี นับเป็นสัญญาณที่ดีในการสานต่อความสัมพันธ์ของความร่วมมือในการพัฒนาระบบสาธารณสุขในประเทศไทย ซึ่งเดนมาร์กมีความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อรักษาสุขภาพในระดับโลกมายาวนานหลายศตวรรษ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงการจัดการกับความท้าทายด้านสุขภาพที่ยังเป็นวาระเร่งด่วนระดับโลก สำหรับประเทศไทย รัฐบาลตั้งเป้าหมายยกระดับโครงการ 30 บาทพลัส เพื่อตอบโจทย์การเป็นรัฐสวัสดิการที่ดูแลประชาชนในระดับพื้นฐาน ประเทศไทย มีประชากรป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 100000 ราย ขณะที่ผู้ป่วยกลุ่ม NCDs เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 300000 รายต่อปี ส่งผลให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตาม จึงจำเป็นต้องหาแนวทางในการทำงานบูรณาการร่วมกัน และเน้นป้องกันโรคมากกว่าการรักษา โดยสร้างเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยตลอดช่วงชีวิตทุกกลุ่มวัยก็จะส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมสุขภาพที่ยั่งยืน โดยกระทรวงสาธารณสุขพร้อมเปิดกว้างและร่วมมือกับภาคเอกชนในการร่วมกันแก้ปัญหา เพื่อลดภาระประเทศในระยะยาว และเชื่อว่าความมั่งคั่งของประชาชนย่อมต้องมาพร้อมสุขภาพที่ดีควบคู่กัน

 

ศ.นพ.วิชัย เอกพลากร หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงสถานการณ์โรคเบาหวานและโรคอ้วน ซึ่งจำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2573 จะมีผู้ที่เป็นโรคอ้วน 1 พันล้านคน และส่วนใหญ่อยู่ในประเทศรายได้น้อย-รายได้ปานกลาง สำหรับประเทศไทย อัตราการเสียชีวิตจากโรคเบาหวานสูงสุดเป็นอันดับแรก คิดเป็นประมาณ 66000 คนต่อปี โดย 1 ใน 10 ของคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวาน และ 1 ใน 3 ไม่รู้ว่าตนเองเป็น เพราะไม่เคยตรวจวินิจฉัยมาก่อน นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 3.75 แสนล้านบาท หรือ 2.2% ของ GDP ดังนั้น จึงจำเป็นต้องส่งเสริมและให้ความรู้แก่ประชาชน อาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนโดยรอบ ตลอดจนเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาอย่างเป็นธรรม

 

ขณะที่ นายเอ็นริโก้ คานัล บรูแลนด์ (Enrico Cañal Bruland) รองประธานกรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในปาฐกถา ‘การเดินทางของเดนมาร์กสู่สุขภาพยั่งยืนในรอบหนึ่ง ศตวรรษ’ ว่าบริษัทฯ ได้เน้นย้ำพันธกิจในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างโลกที่ผู้คนมีสุขภาพดีในปัจจุบันและอนาคตของคนรุ่นต่อไปเพื่อเอาชนะโรคเบาหวาน โรคอ้วนและโรคเรื้อรังร้ายแรงอื่นๆ โดยเราเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ ขยายโอกาสในการเข้าถึงยารักษาโรค และมุ่งมั่นทำงานเพื่อป้องกันและรักษาโรคตั้งแต่ค.ศ. 1923 (พ.ศ. 2466)เป็นต้นมา

 

บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมโรคเบาหวานและโรคอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชนเพื่อส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการป้องกันและควบคุมโรค ตลอดจนสนับสนุนการศึกษาและวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น นวัตกรรมนับเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจของบริษัท และสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรมาตลอดช่วง 100 ปีที่ผ่านมาและในอีก 100 ปีข้างหน้า อีกทั้งตระหนักถึงภัยคุกคามของแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคอ้วนและโรคเบาหวาน ซึ่งบั่นทอนสุขภาพและความมั่งคั่งของคนรุ่นหลัง เรามุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและยกระดับการรักษาแบบบูรณาการและป้องกันความเสี่ยงของโรคในทุกด้านที่อาจเป็นไปได้

 

ที่ผ่านมา โนโว นอร์ดิสค์ ทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในเมืองที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งออกแบบมาเพื่อป้องกันโรคอ้วนและโรคเบาหวาน โดยจัดการกับอุปสรรคต่อสุขภาพและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบในกว่า 40 เมืองทั่วโลก 

 

ในประเทศไทย โนโวนอร์ดิสค์ได้ดําเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นเวลา 40 ปี โดยนําผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมในการรักษาโรคมาปรับใช้ เพราะเชื่อว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วย มุ่งมั่นค้นหาผลิตภัณฑ์ใหม่ผ่านการวิจัยทางคลินิกอย่างต่อเนื่อง โรคอ้วนเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญในการรักษาเพราะโรคอ้วนเป็นสาเหตุนําไปสู่โรคอื่นอีกกว่า 200 โรค จึงควรผลักดันให้เป็นวาระเร่งด่วน เพื่อป้องกันภาระทางสุขภาพในอนาคตทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้รับการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน