เอ็นไอเอปลื้มไทยติดอันดับ 52 ประเทศที่มีระบบนิเวศสตาร์ทอัพดีที่สุดในโลก กรุงเทพฯกระโดดขึ้น 25 อันดับ ขยับสู่อันดับ 74 เบียดแซงกัวลาลัมเปอร์ พร้อมพ่วงเชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา ติดชาร์ทเมืองสตาร์ทอัพระดับโกลบอล
กรุงเทพฯ 16 มิถุนายน 2566 – สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เผยผลการจัดอันดับดัชนีระบบนิเวศทางสตาร์ทอัพโลก ประจำปี 2566 (Global Startup Ecosystem Index 2023) โดย StartupBlink ศูนย์กลางข้อมูลด้านระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่ครอบคลุมทั่วโลกได้มีการจัดอับดับ 100 ประเทศ และ 1000 เมืองที่มีระบบนิเวศทางสตาร์ทอัพที่ดีที่สุด สำหรับภาพรวมในปีนี้ประเทศไทยได้อันดับที่ 52 ของโลก ขยับขึ้นจากปีที่แล้ว 1 อันดับ โดยกรุงเทพฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดขยับขึ้น 25 อันดับ เป็นที่ 74 ของโลก พุ่งแซงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย (อันดับ 87) มาเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน โดยมีความ โดดเด่นด้านอุตสาหกรรมการขนส่ง (Transportation) ที่สามารถรักษาอันดับที่ 43 ของโลกไว้ได้ นอกจากนี้ ยังมีเชียงใหม่ อันดับ 591 ภูเก็ต อันดับ 640 และพัทยา อันดับ 849 ที่ร่วมติดชาร์ทใน 1000 อันดับแรกของเมืองด้วยเช่นกัน
ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับวงการนวัตกรรมและสตาร์ทอัพของไทยที่ผลการจัดอันดับดัชนีระบบนิเวศทางสตาร์ทอัพโลก ประจำปี 2566 (Global Startup Ecosystem Index 2023) โดย StartupBlink ระบุว่าประเทศไทยได้ลำดับที่ 52 ของประเทศที่มีระบบนิเวศทางสตาร์ทอัพที่ดีที่สุดในโลก สูงกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ ถือเป็นอันดับ 4 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ (อันดับ 6) อินโดนีเซีย (อันดับ 41) มาเลเซีย (อันดับ 43) ตามมาด้วยเวียดนาม (อันดับ 58) และฟิลิปปิน (อันดับ 59) โดยมี "กรุงเทพฯ" เป็นเมืองศูนย์กลางด้านสตาร์ทอัพของประเทศ ที่สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดจากปี 2565 ขยับขึ้น 25 อันดับ เป็นอันดับที่ 74 ของโลก แซงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย (อันดับ 87) และเป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียน โดยมีความโดดเด่นด้านอุตสาหกรรมการขนส่ง (Transportation) ที่สามารถรักษาอันดับที่ 43 ของโลกไว้ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีอีก 3 จังหวัดที่ติดใน 1000 อันดับแรกของเมืองที่มีระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่ดีที่สุดด้วยเช่นกัน ได้แก่ เชียงใหม่ ที่อยู่ในอันดับ 591 ตามด้วยภูเก็ต อันดับ 640 และพัทยา อันดับที่ 849
ปัจจัยหลักที่ใช้ในการประเมินของเว็บไซต์ StartupBlink ได้แก่ 1) ปัจจัยเชิงปริมาณ ประกอบด้วย จำนวนสตาร์ทอัพ จำนวนนักลงทุน จำนวนโค-เวิร์คกิ้ง สเปซ (Co-Working Space) จำนวนโปรแกรมเร่งการเติบโต (Accelerator) และจำนวนกิจกรรมพบปะของสตาร์ทอัพ 2) คุณภาพของสตาร์ทอัพ และสิ่งอำนวยความสะดวก ประกอบด้วย ปริมาณการลงทุนในสตาร์ทอัพของภาคเอกชน จำนวนศูนย์วิจัยและพัฒนา จำนวนผู้ใช้งานสตาร์ทอัพ (Traction) จำนวนสาขาของบริษัทข้ามชาติ จำนวนลูกจ้าง จำนวนและผลกระทบของสตาร์ทอัพระดับ Unicorns Exits และ Pantheon จำนวนสตาร์ทอัพที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ระดับโลก จำนวนกิจกรรมเกี่ยวกับสตาร์ทอัพระดับโลก และจำนวนและมูลค่าหลักทรัพย์ในภาคเทคโนโลยี และ 3) สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ประกอบด้วย ดัชนีความหลากหลาย ความเร็ว ราคา และความอิสระในการใช้อินเทอร์เน็ต การลงทุนด้านงานวิจัย ความพร้อมของเทคโนโลยีด้านการบริการ ความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ ความมีอิทธิพลของหนังสือเดินทาง การให้วีซ่าแก่สตาร์ทอัพต่างชาติ อัตราภาษีนิติบุคคล กฎหมายแรงงานที่เป็นมิตรต่อธุรกิจสตาร์ทอัพ ดัชนีการรับรู้การทุจริต และจำนวนมหาวิทยาลัยชั้นนำ
“หลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ก้าวข้ามไปสู่การเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากขึ้น ผ่านการปฏิรูป ผลักดันการสร้างนวัตกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี 2559 การส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพเป็นนโยบายเชิงกลยุทธ์สำคัญสำหรับการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมี NIA เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ส่งเสริมระบบนวัตกรรมและสตาร์ทอัพของประเทศ ประเทศไทยไม่ได้ดึงดูดแค่เฉพาะนักท่องเที่ยว แต่ยังสามารถดึงดูดกลุ่มดิจิทัลนอร์แมด (Digital Normad) ที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ ซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงองค์ความรู้ระดับนานาชาติ ส่งผลให้เกิดธุรกิจ และโครงการต่าง ๆ ตามมา ด้วยเหตุนี้ NIA จึงมุ่งมั่นพัฒนาให้ไทยเป็นพื้นที่สำหรับสตาร์ทอัพและนักลงทุนจากทั่วโลก ผ่านการจัดตั้งศูนย์กลางสตาร์ทอัพระดับโลก (Global Startup Hub) ใน 3 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC เพื่อรองรับสตาร์ทอัพและนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้สามารถดำเนินการด้านธุรกิจและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสร้างเมืองน่าอยู่ พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในเมือง เชื่อมโยงความเจริญสู่ชนบท ผ่านการพัฒนาย่านนวัตกรรม หรือพื้นที่ที่มีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบการ”
ดร. พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเมืองทั้ง 4 ที่ติดอันดับนั้น NIA ได้มีการลงพื้นที่ส่งเสริมการพัฒนาด้านนวัตกรรมตลอดมา กรุงเทพฯ มีการพัฒนาย่านนวัตกรรม 4 แห่ง ได้แก่ ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี (YMID) ย่านนวัตกรรมไซเบอร์เทค ย่านนวัตกรรมอารีย์ และย่านนวัตกรรมกล้วยน้ำไท (KIID) เชียงใหม่ มีการพัฒนาย่านนวัตกรรม 2 ย่าน ได้แก่ ย่านนวัตกรรมการแพทย์สวนดอก (SMID) และย่านนวัตกรรมเกษตรและอาหารแม่โจ้ (MAID) พัทยา มีการพัฒนาย่านนวัตกรรมใกล้เคียงในพื้นที่ EEC ได้แก่ ย่านนวัตกรรมบ้านฉาง จังหวัดระยอง แม้ใน ภูเก็ต จะยังไม่มีการพัฒนาย่านนวัตกรรมในพื้นที่ แต่มีการสนับสนุนด้านนวัตกรรม ได้แก่ การจัดกิจกรรม Open Innovation Road Show ภาคใต้ เพื่อสนับสนุนด้านเงินทุนแก่ผู้ประกอบการนวัตกรรมในพื้นที่ และการสร้างเครือข่ายนวัตกรรุ่นใหม่และผู้สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมในส่วนภูมิภาค (PIN) อีกทั้งยังมีนโยบายดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาทำธุรกิจและลงทุนในไทย ผ่านโครงการ Smart Visa ซึ่งเป็นวีซ่าประเภทพิเศษที่ NIA ร่วมกับ BOI ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในกิจการฐานความรู้ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม และนโยบายยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรจากการขายหุ้นของสตาร์ทอัพ โดยมี NIA เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ให้บริการการรับรองธุรกิจนวัตกรรมสตาร์ทอัพเป้าหมายที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์นี้
“ไม่กี่ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมียูนิคอร์นเกิดขึ้นหลายราย ไม่ว่าจะเป็น Line Man Wongnai Flash Express และ Ascend Money และเราหวังว่าจะได้เห็นยูนิคอร์นรายต่อ ๆ ไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า พร้อมก้าวสู่การเป็น Startup Nation อย่างเต็มตัว โดยสิ่งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ และเร่งเสร้างการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดการใช้และขยายผลนวัตกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องสร้างและปลูกฝังความคิดเชิงนวัตกรรม (Innovation Mindset) ให้กับหน่วยงานและบุคลากร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ตลอดจนภาคประชาชน เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดรับนวัตกรรมและพร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ไปจนถึงการร่วมมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลก ทั้งนี้ NIA กำลังจะจัดงาน Startup x Innovation Thailand Expo 2023 หรือ SITE 2023 ภาคใต้แนวคิด “หุ้นส่วนนวัตกรรม : Innovation Partnership” สามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตได้ในวันที่ 22 - 24 มิถุนายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://site.nia.or.th/” ดร. พันธุ์อาจ กล่าวทิ้งท้าย