เมื่อ : 02 มิ.ย. 2566 , 259 Views
TOA จับมือ สอศ. ปั้นนักเรียนอาชีวะเป็น ‘เถ้าแก่เจ้าของธุรกิจ’ รุ่นใหม่  สร้างงาน สร้างรายได้ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ประเทศไทยมั่นคง

บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ผู้นำตลาดสีทาอาคารและวัสดุก่อสร้างครบวงจรแบบ Total Solution ซึ่งนอกจากจะให้ความสำคัญในการคิดค้น สร้างสรรค์ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองผู้บริโภคอยู่เสมอแล้ว ยังดำเนินโครงการด้านการพัฒนาเยาวชนไทยในการมอบโอกาสทางการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยฉพาะนักเรียนอาชีวะถือเป็นกลุ่มเยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญ ในการขับเคลื่อนภาพรวมอุตสาหกรรมของประเทศชาติ โดยตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2554) ที่ทีโอเอได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เพื่อส่งเสริม ยกระดับนักเรียนอาชีวะ พัฒนาปลุกปั้นหลักสูตรการเรียนรู้พิเศษ มุ่งเน้นการสร้างมาตรฐานและทักษะ พร้อมส่งเสริมชี้ให้นักเรียนอาชีวะได้เห็นแนวทางที่จะสามารถสร้างตนเอง เพื่อก้าวสู่การเป็น “เถ้าแก่หรือเจ้าของธุรกิจ” รุ่นใหม่ มีอาชีพ สร้างรายได้อย่างมั่นคง 


โดยเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 – ทีโอเอ ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อเดินหน้าสานต่อ “โครงการพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา” ต่อเนื่อง เป็นฉบับที่ 3 (ปี 2566 - 2569) เพื่อหวังผลักดันสร้างนักเรียนอาชีวะให้เป็นเถ้าแก่เจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ สร้างรายได้ มีอาชีพที่มั่นคง เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ โดยมี นายประจักษ์ ตั้งคารวคุณ ประธานกรรมการ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ณ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 


โดยการสนับสนุนงบประมาณรวมเป็นจำนวนเงินปีละ 1.6 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 3 ปี ทั้งวัสดุ อุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากทีโอเอ เพื่อใช้ในการเรียนการสอนของสถานศึกษาในสังกัดอาชีวศึกษา สนับสนุนการผลิตสื่อการเรียนการสอนให้กับสถานศึกษาในสังกัดอาชีวศึกษาทั่วประเทศ รวมทั้งสนับสนุนเงินรางวัลและวัสดุการจัดการแข่งขัน เพื่อใช้ในการแข่งขันทักษะวิชาชีพระดับภาคและระดับชาติ

 

นายประจักษ์ ตั้งคารวคุณ ประธานกรรมการ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า “ทีโอเอ ในฐานะผู้ประกอบการในวงการวัสดุก่อสร้างกว่า 60 ปี จึงทำให้เราเห็นช่องทางและโอกาสของนักเรียนอาชีวะในสาขาวิชาช่างก่อสร้าง และสายช่างอื่นๆ ที่ถึงแม้ไม่ได้เรียนจบปริญาญาตรี แต่ก็มีโอกาสเติบโต มีงานทำ มีรายได้ และต่อยอดสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจได้เช่นกัน 


เพราะปัจจุบันตลาดรีโนเวตบ้านและอาคารเก่าที่มีอายุกว่า 50 ปีขึ้นไป นับเป็นตลาดที่ใหญ่และมีมูลค่ามหาศาล มักพบปัญหาที่ต้องการช่างเพื่อซ่อมแซมหรือต่อเติม เพื่อปรับปรุงให้บ้านน่าอยู่ยิ่งขึ้น อาทิ ปัญหาหลังคา ห้องน้ำรั่วซึม ซ่อมแซมสุขภัณฑ์ และการรีโนเวต ฯลฯ ดังนั้น นักเรียนอาชีวะที่เรียนในสาขาวิชาช่างก่อสร้าง โยธา ช่างไฟฟ้า ฯลฯ จึงมีความได้เปรียบ สามารถประสบความสำเร็จ และเป็น เถ้าแก่เจ้าของธุรกิจ SME รุ่นใหม่ได้ เพราะปัจจุบันตลาดรีโนเวตนี้ยังขาดช่างที่มีความชำนาญการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่างที่มีคุณธรรมความซื่อสัตย์และขยัน มีความรับผิดชอบ ไม่ทิ้งงาน


พร้อมแนะบันไดสู่ความสำเร็จของนักเรียนอาชีวะ รวมทั้งนักเรียนในระดับชั้น ม.ปลาย ปวช. และปวส. ควรต้องไปฝึกงานเป็นลูกจ้าง เพื่อหาประสบการณ์ เรียนรู้ ฝึกฝนปฏิบัติงานจากของจริงกับบริษัทมืออาชีพในแต่ละสายงานอย่างน้อย 5 – 10 ปี  และควรเริ่มต้นจากการ   รับงานเล็กๆ อย่างเช่น ผู้รับเหมาช่างทาสี ไฟฟ้า ประปา กระเบื้อง สุขภัณฑ์ เป็นต้น  ก็จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของธุรกิจ SME ได้เช่นกัน 


นอกจากนี้ วิชาสายงานอาชีพช่างเหล่านี้ ยังเป็นที่ต้องการของตลาดภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก สามารถก้าวออกไปหาเงินในตลาดต่างประเทศ ทำให้มีรายได้มากยิ่งขึ้น อาทิ ประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง และเอเชียตะวันออก ฯลฯ และกลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจ สร้างความมั่งคั่งให้กับครอบครัว นำเงินตราเข้าประเทศ ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป”

 

โดย ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวเสริมว่า “สำหรับการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็น MOU ฉบับที่ 3 มีระยะเวลา 3 ปี (ปี 2566 - 2569) ที่ได้ดำเนินการกับทีโอเอ ภายใต้แนวคิดและเจตนารมณ์ร่วมกัน 

 

เพื่อพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษา โดยการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ผลิตและพัฒนานักเรียน นักศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ด้านวิชาชีพประเภทช่างอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และความต้องการภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีร่วมกันระหว่างบุคลากรของทั้งสองหน่วยงาน ตามแนวคิดประเทศไทยมั่นคง ร่ำรวยด้วยมืออาชีวะ นับเป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ เข้าใจ และสร้างผู้เรียนอาชีวศึกษาอย่างจริงจัง ถือได้ว่าเป็นการวางรากฐาน เชื่อมโยง พัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาในทุกมิติอย่างเป็นระบบ เข้มข้น เกิดสมรรถนะวิชาชีพที่เป็นมาตรฐานสากล เพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร ตอบโจทย์  การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน”