‘สุพัตรา’ เจ้าของธุรกิจขายน้ำยาง ชี้แจงกรณีโดนกล่าวหาลักทรัพย์นายจ้าง
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 22 ก.พ.66 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม.
น.ส.สุพัตรา นามลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.พี.รุ่งเรืองรับเบอร์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด พร้อมที่ปรึกษาบริษัทและทนาย เดินทางเข้าพบ พงส.บก.ปปป.ติดตามความคืบหน้าคดีที่ยื่นหนังสือถึงพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ให้ตรวจสอบโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่เอาเลขที่คำขออนุสิทธิบัตรที่ยังไม่ได้รับการประกาศมาร่างใน TOR เป็นการผูกขาดแค่บริษัทเดียวกับงบประมาณพันกว่าล้าน
พร้อมกันนี้ น.ส.สุพัตรา พร้อมที่ปรึกษาบริษัทฯ ได้ชี้แจงกรณีถูกนักธุรกิจไฮโซหญิง ผู้ประกอบการน้ำยางพารารายใหญ่แจ้งความ พงส.บก.ป.เมื่อวันที่ 3 ก.พ.66 แล้วมีการให้สัมภาษณ์สื่อฯ พาดพิงให้เสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง ได้รับความเสียหายต่อธุรกิจ ว่า การให้สัมภาษณ์ของนักธุรกิจไฮโซ ให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง ประเด็นที่บอกว่าสุพัตราเป็นลูกจ้างไม่เป็นความจริง เพราะความจริง ตนเองเปิดบริษัทมาตั้งแต่ปี ส.ค.60 เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท เอส.พี.ก่อสร้างรุ่งเรืองฯ ซึ่งเป็นอักษรย่อของชื่อ สุพัตรา โดยเป็นกรรมการผู้จัดการเพียงคนเดียว มีตัวเองกับน้องเป็นผู้ถือหุ้นแค่ 3 คน ยังไม่รู้จักกับไฮโซ คนนี้เลย
โดยในปี 2560 เริ่มทำถนนต้นแบบยางพาราซีเมนต์ที่เป็นประเด็นกันที่ จ.นครปฐม โดยศึกษา ลงมือทำ จนมีความชำนาญ เมื่อ ม.ค.61 ได้ใบรับรองว่ามีคุณภาพ จากกรมทางหลวง เมื่อ 3 ส.ค.61
ทำให้สามารถซื้อขายยางกับหน่วยงานของรัฐได้ โดย น.ส.สุพัตรา นามลักษณ์ เป็นคนเซ็นชื่อลงนามคู่สัญญา ไม่ใช่ในนามลูกจ้างตามที่โดนพาดพิงออกข่าวไป การเซ็นเช็คฉบับละ 10 ล้านของ บริษัทโดย น.ส.สุพัตรา ทั้งสิ้นเป็นคนเปิดบัญชีธนาคารเองหมด
เขาได้มาทำงานกับหน่วยงานหนึ่งทำให้รู้จักกับเสธทหาร คนหนึ่งที่แนะนำให้ สุพัตรารู้จักกับไฮโซสาวคนนั้น โดยจ้างให้สุพัตราไปซ่อมบ้านให้ไฮโซสาว
พอไฮโซรู้ว่าสุพัตราจะได้งานจากหน่วยงานทหารเป็นเงินหลายร้อยล้าน ก็อยากจะเข้ามาร่วม ทาง สุพัตราขาดสภาพคล่องขาดเงินสด จึงขอให้ไฮโซหาเงินสดให้ เสธทหาร บอกไฮโซไปหาเงินสดมาให้สุพัตรา 9 ล้านกว่าบาท ซึ่งการได้งานของสุพัตราจากหน่วยทหารเป็นประกัน เมื่อสุพัตราทำงานจบก็คืนเงินที่หยิบยืมไฮโซ มาจนหมด ก่อนจะขอมาร่วมทำงานด้านบัญชีให้ และแนะนำว่าบริษัท เอส พีก่อสร้างรุ่งเรือง ที่แปดริ้วจะมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับภาษี แนะนำให้ย้ายเข้ามาใน กทม.จะช่วยดูแลให้ ก่อนนำเอกสารต่างๆ มาให้สุพัตราเซ็นเป็นปึกๆ เลย แถมให้เซ็นชื่อในกระดาษเปล่า 2 ใบเมื่อ 21 ก.ค.61 ด้วย พร้อมอ้างว่าจะเอาไปย้ายที่ทำการบริษัทฯ
1 ส.ค.61 เขาไปย้ายสำนักงานบริษัท มากทม.ให้โดยไม่ได้ใช้เอกสารที่เซ็นชื่อไปเลย กลับไปใช้ลายเซ็นปลอมแทน เชื่อว่าเขาเอาเอกสารที่เซ็นไปทำเรื่องโอนให้เขามาเป็นหุ้นส่วน
สุพัตรารู้เรื่องเข้าแต่ความเป็นคนที่ไม่อยากมีปัญหากับใคร จึงทำงานกันต่อมา ก่อนไฮโซจะขอบัตรประชาชน 3 คนที่เป็นกรรมการบริษัทไปทำเรื่องภาษี เมื่อ 14 ธ.ค.61 แต่กลับนำเอาบัตรประชาชนไปเปลี่ยนแปลงจำนวนหุ้นในระบบอิเลคโทรนิค ของสุพัตราจาก 50% เหลือ 25 % สุพัตรามาทราบเมื่อ 17 ม.ค.63 ก่อนไลน์ไปถามโฮโซ เขาปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เซ็น
ด้วยความที่สุพัตราเป็นคนที่ไม่อยากมีปัญหากับใคร จึงคิดว่าจะออกมาทำเองดีกว่า เป็นคนที่รู้จักและมีลูกค้าในมือเยอะ แต่พอออกมาแล้วก็กลับมีปัญหาอีก ซึ่งได้มีการแจ้งความเรื่องการปลอมแปลงเอกสารในภายหลังไว้แล้ว คดีอยู่ในชั้นสอบสวนส่งอัยการแล้ว
สุพัตรายังโดนแจ้วความคดีลักทรัพย์นายจ้างอีก เงินที่ใช้ไปเปิดบัญชี 1.5 หมื่นบาท ซึ่งเป็นเงินส่วนตัวเอาไปใช้เปิดบัญชีกระแสรายวันและออมทรัพย์ บัญชีละ 1 หมื่นบาท ตั้งแต่ก่อนไฮโซจะเข้ามา เคยบอกให้สุพัตราไปปิดบัญชีเสีย แต่เห็นว่าเล็กน้อยจึงไม่ได้ปิด จนออกจากบริษัทไป คิดได้ว่าเงินของตัวเองชื่อบัญชีตัวเองจึงไปถอนและปิดบัญชีก่อนจะถูกแจ้งจับข้อหาลักทรัพย์ของบริษัท เงินแค่ 1.5 หมื่นบาทถูกตำรวจจับเข้าห้องขังเลยก็ถือว่าเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม
เรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าขโมยน้ำยา ก็มีเอกสารชี้แจงหมดที่น่าสังเกต ไฮโซรายนี้ได้รับเลือกให้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยการที่เอาคนที่มีส่วนได้เสียเข้าไปแบบนี้ไม่รู้ว่าประเทศชาติจะเป็นอย่างไรต่อไปเพราะมีเรื่องการล็อคสเปคแบบนี้