เมื่อ : 09 ก.ค. 2567 , 153 Views
เหตุใดเอสเอ็มอีไทยจึงต้องเตรียมพร้อมสู่เศรษฐกิจสีเขียว

โดยอัมพร ทรัพย์จินดาวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่พาณิชย์ธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย
 

ในขณะที่คาดกันว่าปี 2567 จะทำลายสถิติปีที่ร้อนที่สุดของปี 2566 ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับอากาศร้อนจัดที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี พร้อมกับเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลง แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ แต่เศรษฐกิจสีเขียวกลับเติบโตอย่างรวดเร็ว สร้างโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) ของไทยในการปรับตัวและเติบโตในสภาวะตลาดใหม่เช่นนี้

 

ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับภาคการส่งออก
มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ CBAM มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ SMEs ไทย โดยเฉพาะหลังจากที่สหภาพยุโรปได้ประกาศให้บริษัทผู้นำเข้าสัญชาติยุโรปใน 6 อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูง ได้แก่ อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย ไฮโดรเจน และเหล็กและเหล็กกล้า ต้องรายงานตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

ภายในสิ้นปี 2568 หน่วยงานกำกับดูแลของยุโรปอาจประกาศเพิ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นเข้าในมาตรการนี้ และภายในปี 2569 บริษัทที่ได้รับผลกระทบจะต้องเริ่มจ่ายภาษีคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนตามราคาสิทธิของระบบการซื้อขายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป ด้วยความที่สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 4 ของไทยและคาดว่าการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีจะเสร็จสิ้นในปีหน้า มาตรการ CBAM นี้จึงน่าจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเศรษฐกิจไทย ธุรกิจ SMEs ไทยมีเวลา 2 ปีในการต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรการนี้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญเนื่องจากมาตรการนี้เป็นการบูรณาการที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งภายในประเทศและทั่วโลก

 

ความต้องการด้านความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภค


ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลามีอิทธิพลอย่างมากต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมสีเขียวในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การขนส่ง และสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์

 

รายงานการวิจัยการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนปี 2566 โดย Booking.com ระบุว่านักท่องเที่ยวที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุระหว่าง 26 ถึง 35 ปี มองหาตัวเลือกการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมากขึ้น เกือบ 2 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ชื่นชอบที่พักที่ได้รับการรับรองความยั่งยืน และร้อยละ 59 มองหาที่พักในลักษณะนี้สำหรับการจองในอนาคต

 

การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก กระตุ้นให้รัฐบาลกำหนดจุดยืนเชิงยุทธศาสตร์ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุก และรถบัส ตลอดจนให้คำมั่นที่จะผลิตยานยนต์ไร้มลพิษให้ได้ร้อยละ 30 ของปริมาณยานยนต์ที่ผลิตทั้งหมดภายในปี 2573 การมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการประกอบยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีประโยชน์อย่างมาก ค่ายยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีนหลายค่าย ไม่ว่าจะเป็น เกรท วอลล์ มอเตอร์ บีวายดี และโฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล ต่างดำเนินการจัดตั้งฐานการผลิตในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่เริ่มผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่น Ora Good Cat ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ

 

อีกหนึ่งภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว คือ อสังหาริมทรัพย์สีเขียว รายงานการสำรวจล่าสุดโดย JLL Research ระบุว่ากว่าร้อยละ 95 ของผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในอินเดีย มาเลเซีย และไทย ตั้งเป้าให้อสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดที่ถือครองได้รับการรับรองด้านสีเขียว อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าปริมาณของอุปทานยังคงมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยมีพื้นที่คาร์บอนต่ำที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพียง 2 ใน 5 ตารางฟุตของความต้องการทั้งหมด โครงการ One Bangkok ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สินของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นโครงการชั้นนำที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED ระดับแพลตตินัม โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่กำหนดมาตรฐานระดับสูงสำหรับการออกแบบเชิงนิเวศในระดับสากล นอกจากนี้ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด นับเป็นผู้บุกเบิกการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาและสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านพักอาศัย ซึ่งช่วยผลักดันการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์สีเขียวให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น

 

แนวโน้มด้านกฎระเบียบในประเทศและระหว่างประเทศ


นอกเหนือจากความต้องการของผู้บริโภคและห่วงโซ่อุปทานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแล้ว SMEs ไทยก็ควรเตรียมพร้อมรับมือมาตรการทางกฎหมายในประเทศที่คาดว่าจะเข้มงวดขึ้น เนื่องจากรัฐบาลปรับลดความสนใจในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงลง เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก

 

ในปี 2565 ประเทศไทยได้ยื่นเอกสารการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด หรือ NDC ฉบับที่ 2 โดยให้คำมั่นว่าจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ถึง 40 ภายในปี 2573 และจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเป็นศูนย์สุทธิภายในปี 2608

 

ปัจจุบัน ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของประเทศอยู่ระหว่างการดำเนินการและอภิปราย หากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ บริษัทต่างๆ จะต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนไปยังฐานข้อมูลกลาง นอกจากนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังเสนอให้มีการนำเครื่องมือทางเศรษฐกิจ 3 ประการมาใช้ ได้แก่ ระบบการซื้อขายก๊าซเรือนกระจกในประเทศ ภาษีคาร์บอน และการสร้างคาร์บอนเครดิต

 

อีกหนึ่งพัฒนาการด้านกฎระเบียบที่สำคัญ คือ แผนพลังงานชาติของไทย ซึ่งตั้งเป้าสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านการผลิตไฟฟ้าของประเทศเป็นพลังงานหมุนเวียนและลดการใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน ในการประชุม COP28 ครั้งที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ให้คำมั่นที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็นร้อยละ 68 ภายในปี 2583 และร้อยละ 74 ภายในปี 2593

 

เศรษฐกิจสีเขียว: ก้าวสำคัญของธุรกิจ
จำนวนคำร้องขอเข้าร่วมโครงการสินเชื่อลดโลกร้อนของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแสดงให้เห็นถึงแนวคิดของธุรกิจ SMEs ไทยที่ต้องการปรับตัวสู่การดำเนินงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คาดว่าแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องตามการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาดโลก สำหรับ SMEs ไทยแล้ว การปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวไม่ใช่เป็นเพียงตัวเลือก หากแต่เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและการอยู่รอดในระยะยาว อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก ผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลจะมองเห็นโอกาสที่เกิดจากเศรษฐกิจสีเขียวและปรับตัวไปตามกระแส เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของตนจะไม่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในโลกที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น