กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ผนึก สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมลงนาม MOU เสริมแกร่งธุรกิจครอบครัว สู่การเติบโตยั่งยืน
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ผนึกกำลังกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดพิธีลงนาม MOU โครงการ “Family Business Thailand” ในวันที่ 4 เมษายน 2567 ณ ห้องไทรทอง อาคาร 3 ชั้น 4 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัวอย่างมืออาชีพ โดยเน้นเจาะกลุ่มทายาทธุรกิจ SME รายเล็ก สมาชิกเครือข่าย YEC ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ โครงการ “Family Business Thailand” เป็นความมุ่งมั่นระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งประกอบด้วย กรมพัฒนาธุรกิจการค้าผนึกกำลังกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการบริหารธุรกิจครอบครัว ให้มีองค์ความรู้ด้านบริหารจัดการธุรกิจ และการตลาดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อันจะนำมาซึ่งข้อมูลที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างโอกาสทางการค้าและการบริหารเครือข่ายให้แก่ธุรกิจครอบครัว และ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ในวันนี้ (4 เมษายน 2567) นาย เอกฉัตร คีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ได้มอบนโยบายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าดำเนินการส่งเสริมพัฒนาธุรกิจ และสร้างพลังขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เน้นการบูรณาการความร่วมมืออันถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการส่งเสริมยกระดับศักยภาพการบริหารจัดการแก่ผู้ประกอบการภายใต้การส่งเสริมพัฒนาของกรมฯ ให้เติบโตเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเป็นนโยบายผลักดันให้ SME เพิ่ม GDP ให้ได้ไม่น้อยกว่า 40% ภายในปี 2570
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมแรงร่วมใจส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการไทย จากการใช้ศักยภาพของแต่ละหน่วยงาน เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย ทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจครอบครัวทั่วประเทศ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่มีผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกันถ่ายทอดองค์ความรู้ และให้คำปรึกษาแนะนำในธุรกิจครอบครัว เพื่อให้สามารถส่งผ่านธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะวันนี้กลุ่มธุรกิจครอบครัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีศักยภาพและมุ่งผลสัมฤทธิ์ทางด้านธุรกิจอย่างจริงจังให้ได้มีโอกาสศึกษาถึงปัจจัยการขับเคลื่อนให้ธุรกิจครอบครัวสามารถส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นต่อไปได้อย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมภายใต้โครงการ “Family Business Thailand” โดยเริ่มต้นจากการอบรมหลักสูตร Family Business Thailand ระหว่างวันที่ 8-9 พฤษภาคม 2567 ณ ศูนย์ประชุม 1 ศตวรรษ ชั้น 6 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว
ขณะเดียวกัน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความร่วมมือกับโครงการ “Family Business Thailand” ว่า “ในฐานะที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของธุรกิจครอบครัวที่มีต่อ GDP และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม ทว่า ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจครอบครัวที่มีขนาดเล็ก และขนาดกลางได้รับผลกระทบจากภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับข้อจำกัดทางด้านการบริหารจัดการ และองค์ความรู้ในการพัฒนาตนเอง ทำให้ธุรกิจเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบอย่างมาก ดังนั้น ทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจึงรู้สึกยินดีที่กระทรวงพาณิชย์ และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเห็นความสำคัญและร่วมลงนาม MOU ในโครงการ Family Business Thailand เพื่อสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้กับธุรกิจครอบครัวกลุ่มนี้ให้มีความแข็งแกร่งจากภายใน อีกทั้งจะสามารถส่งต่อธุรกิจต่อเนื่องกันไปได้อย่างราบรื่นในอนาคต”
นอกจากนี้ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า “ในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษาเพื่อทำหน้าที่ส่งต่อองค์ความรู้ และบริการทางด้านวิชาการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมีความยินดีที่จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและพัฒนาหลักสูตรต่างๆ ในโครงการ Family Business Thailand ทั้งหลักสูตรระยะสั้น และหลักสูตรระยะยาว (Degree & Non-Degree) กับเจ้าของธุรกิจครอบครัว ตลอดจนทายาท เพื่อนำองค์ความรู้สำหรับการเร่งสร้างการเติบโต ควบคู่ไปกับการปรับใช้เทคโนโลยีในธุรกิจ มพร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายธุรกิจครอบครัว เพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตและส่งต่อธุรกิจได้จากรุ่นสู่รุ่น”
ในส่วนรายละเอียดของโครงการฯ ดร.รวิดา วิริยกิจจา คณบดีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า “Family Business Thailand มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแหล่งความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัวทั่วประเทศ เพื่อเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงธุรกิจครอบครัวในการสร้างโอกาส เตรียมความพร้อมทเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในแต่ละสถาบันการเงิน และเป็นศูนย์บ่มเพาะให้แก่ธุรกิจครอบครัวรายใหม่ให้มีองค์ความรู้ ความสามารถในการพัฒนาด้านธุรกิจ เพื่อเริ่มต้นทำธุรกิจที่ดี ด้วยการสร้างองค์ความรู้ทั้งด้านการบริหารงาน บริหารทรัพย์สิน บริหารครอบครัว พร้อมทั้งให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจครอบครัวที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว แต่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจของตนเอง รวมทั้งหาแนวทางตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง เพื่อแก้ปัญหาการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนเพื่อจัดทำฐานข้อมูล และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัวในประเทศไทย
ขณะเดียวกัน รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล ผู้รับผิดชอบโครงการ Family Business Thailand ได้สะท้อนมุมมองในฐานะที่เป็นปรึกษาธุรกิจครอบครัวว่า “ธุรกิจครอบครัวถือเป็น “นักรบทางเศรษฐกิจ” ที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย โดยสามารถสร้างรายได้ประมาณ 14-17% ของ GDP ทว่า ส่วนใหญ่มักจะประสบปัญหาในการสืบทอดธุรกิจ จนมีคำกล่าวว่า ธุรกิจครอบครัวมักจะส่งต่อกันได้ไม่ถึงรุ่นที่ 3 เนื่องจากศาสตร์การบริหารธุรกิจครอบครัวเป็นศาสตร์เฉพาะด้านที่มีการบ่มเพาะ ถ่ายทอดกันในวงจำกัด ดังนั้น การผนึกกำลังกันระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาเป็น “สามประสาน” จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ประเทศไทยจะสามารถขยายฐาน “กองทัพนักรบทางเศรษฐกิจ” ที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบ”
ขณะเดียวกัน โครงการ Family Business Thailand ยังได้จัดกิจกรรมเสวนาวิชาการ 60 ปี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในหัวข้อเรื่อง “จากรุ่นสู่รุ่น ... เคล็ดลับความสำเร็จของธุรกิจครอบครัว” โดยมีวิทยากรผุ้ทรงคุณวุฒิจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้แก่
- นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกิตติมศักดิ์หอารค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มมิตรผล
- ดร.เดช เลิศสุวรรณรักษ์ ที่ปรึกษาสภาหอารค้าแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพ โอเอ คอมส์ จำกัด
- นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC หอการค้าไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด
- รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล (ผู้ดำเนินรายการ) คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีสถาบันการเงินที่มาร่วมออกบูธ เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัวสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวกขึ้นและได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก ประกอบด้วย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดตามและสมัครเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่กรมฯจัดร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ทาง www.dbd.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองธุรกิจบริการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 02 5475985 หรือสายด่วน 1570 หรือเฟซบุ๊คแฟนเพจของโครงการ # FamilyBusinessThailand