เมื่อ : 01 มี.ค. 2567 , 97 Views
ยูโอบีประกาศผลกำไรสุทธิ ปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 26  สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 6.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์

รายได้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายแฟรนไชส์ในภูมิภาคและการเติบโตของรายได้รวมที่แข็งแกร่ง
 

รายได้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายแฟรนไชส์ในภูมิภาคและการเติบโตของรายได้รวมที่แข็งแกร่ง

 

กลุ่มธนาคารยูโอบีประกาศผลกำไรสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 6.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 หากรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่เกิดจากการซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 5.7 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน

 

คณะกรรมการจึงเสนอจ่ายเงินปันผลที่ 85 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาล 85 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ เงินปันผลทั้งหมดสำหรับปี 2566 คิดเป็น 1.70 เหรียญสิงคโปร์ต่อหุ้นสามัญ หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50

 

ในปี 2566 ผลกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารยูโอบีปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 และก้าวข้าม 6 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 6.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งและแฟรนไชส์ลูกค้าที่ขยายตัว รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 อยู่ที่ 9.7 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ จากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่แข็งแกร่งที่ 23 จุดและการเติบโตของสินเชื่อที่ร้อยละ 2 ในสกุลเงินคงที่ รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิโตขึ้นร้อยละ 4 อยู่ที่ 2.2 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ จากค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตและการบริหารความมั่งคั่งที่สูงขึ้น แม้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อจะลดลงก็ตาม คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงที่ โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ที่ร้อยละ 1.5

 

รายได้จากลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ (Wholesale banking) ของกลุ่มธนาคารยูโอบีปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 อยู่ที่ 7.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ จากการให้บริการด้านธุรกรรมของธนาคาร (Transaction banking) ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเกินกว่าครึ่งของรายได้จากลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ นอกจากนี้ รายได้ข้ามพรมแดนก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ที่ร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปริมาณรายได้ในปี 2565

 

รายได้ของกลุ่มลูกค้ารายย่อยดีดตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 อยู่ที่ 5.5 พันล้านเหรียญ