ซีพีเอฟ กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเพิ่มขึ้น 60% จากปีก่อน เชื่อมั่นปี 2566 ผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” รายงานยอดขายปี 2565 จำนวน 614197 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 20 จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งระดับราคาสินค้าที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 13970 ล้านบาท
ซีพีเอฟมีการลงทุนและร่วมลงทุนใน 17 ประเทศ ส่งออกจากประเทศไทยไปประเทศต่างๆ อีกมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลกด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร สัดส่วนยอดขายในปี 2565 ที่ผ่านมาเป็นของกิจการในต่างประเทศร้อยละ 63 กิจการประเทศไทยร้อยละ 31 และยอดขายจากการส่งออกร้อยละ 6 ของยอดขายรวม กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 มีกำไรจากการปรับราคายุติธรรมของสินค้าชีวภาพเพิ่มขึ้นร้อยละ 159 ส่งผลให้มีกำไรสุทธิในปี 2565 จำนวน 13970 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 7 แต่หากหักกำไรจากการแลกเปลี่ยนเงินลงทุนด้วยหุ้นของ Makro ซึ่งเป็นรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในปี 2564 จำนวน 7849 ล้านบาท จะทำให้กำไรก่อนรายการพิเศษในปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 170 จากปีก่อน
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นว่า ส่วนหนึ่งมาจากการให้ความสำคัญด้านมาตรฐานการควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ผลการดำเนินงานที่ผ่านมารวมถึงธุรกิจในประเทศไทยปีนี้มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นภายใต้ภาวะที่อุตสาหกรรมเผชิญกับการระบาดของโรค ASF ในสุกร (African Swine Fever) นอกจากนี้ ซีพีเอฟมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสังคมรูปแบบใหม่สืบเนื่องมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 (New Normal) ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการขยายช่องทางการขายให้มีความหลากหลาย ส่งเสริมคู่ค้าในการปรับรูปแบบการขายเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและสร้างคุณค่าร่วมไปด้วยกัน
นอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว ซีพีเอฟยังคงมุ่งสร้างสมดุลในการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทได้มีการสนับสนุนลดการใช้พลังงานถ่านหินและหันมาใช้พลังงานทดแทน และมีการยกเลิกการใช้ถ่านหินในโรงงานประเทศเวียดนามตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 และ ในโรงงานประเทศไทยตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2565
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2566 ซึ่งจะยังมีความท้าทายอย่างต่อเนื่อง เช่น ผลกระทบจากโรคระบาดในคนและสัตว์ ผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น และสภาวะเศรษฐกิจที่มีสัญญาณถดถอยในหลายประเทศ บริษัทฯจึงมีความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ดี ด้วยรากฐานที่มั่นคงและแผนการขยายธุรกิจที่รัดกุม เชื่อมั่นว่าปี 2566 บริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
คณะกรรมการบริษัทซีพีเอฟได้มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้นในอัตราหุ้นละ 0.75 บาท โดยบริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลครั้งแรกเป็นเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2565 และเป็นเงินปันผลจ่ายครั้งที่สองจากผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท ซึ่งจะมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้./